การสังคายนาครั้งที่ ๑
สาเหตุให้เกิดการสังคายนาครั้งที่
ในการทำสังคายนาในครั้งนี้ พระมหากัสสปเถระปรารภเหตุ ๓ ประการ คือ ๑) พระสุภัททะกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย ๒) พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้กับพระอานนท์ว่าพระธรรมวินัยจักเป็นศาสดาแทนพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพานไปแล้ว ๓) พระมหากัสสปเถระระลึกถึงคุณของพระศาสดาที่มีต่อท่าน
ความเป็นมามีอยู่ว่า พระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๘๐ พรรษาที่เมืองกุสินารา เมืองหลวงของแคว้นมัลละปรากฎว่า มีพระมหาสาวกที่สำคัญยังคงมีชีวิตอยู่หลายท่าน เช่น พระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทธะ พระอุปวาณะ พระจุนทะ พระควัมปติ พระกุมารกัสสปะ พระอานนท์ พระมหากัจจายนะ พระอุเทนะ เหล่านี้เป็นต้น ข่าวการปรินิพพานของพระพุทธองค์ได้แพร่สะพัดไปในที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว พุทธบริษัททั้งสี่ที่ยังเป็นปุถุชน เมื่อได้สดับข่าวนี้แล้ว ต่างก็พากันเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องให้ ส่วนพระอรหันต์ทั้งหลายก็อดกลั้นด้วยธรรมสังเวช
ขณะที่พระพุทธองค์ปรินิพพานนั้น พระมหากัสสปเถระกำลังจาริกแสดงธรรมอยู่ที่เมืองปาวา ซึ่งเป็นเมืองของแคว้นมัลละอีกเมืองหนึ่ง ขณะนั้นท่านกำลังจะเดินทางไปเมืองกุสินาราเมื่อมาถึงกลางทางเห็นอาชีวกคนหนึ่งถือดอกมณฑาทิพย์เดินสวนทางมา ท่านเกิดความประหลาดใจ ตามปกติแล้วดอกมณฑาทิพย์จะไม่ปรากฎให้เห็นเลย เพราะเป็นดอกไม้สวรรค์ท่านจึงได้ไต่ถาม อาชีวกคนนั้นจึงทราบว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว จึงรีบรุดไปเมืองกุสินนาราทันที
ครั้นไปถึงแล้ว ก็ได้ฟังคำอันไม่เป็นมงคลของสุภัททภิกษุ ที่กล่าวในท่ามกลางสังฆสภาพระมหากัสสปเถระเกิดธรรมสังเวช และดำริว่า พระพุทธเจ้าปรินิพพานสิ้นกาลไม่นานนัก คือเพียง ๗ วันเท่านั้น ก็มีภิกษุอลัชชี ไม่มียางอาย หน้าด้าน กล่าวจ้วงจาบ ( กล่าวตู่ กล่าวติเตียน ) พระธรรมวินัยในท่ามกลางสงฆ์เช่นนี้ ต่อไปภายภาคหน้าจะมิยิ่งร้ายกว่านี้หรือ เราจักเรียกประชุมสงฆ์องค์อรหันต์ทั้งหลาย เพื่อหาทางป้องกัน และกำจัดเหล่าอลัชชีให้หมดไปชำระพระธรรมวินัยร้อยกรองให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อความดำรงมั่นของพระพุทธศาสนา
เมื่อถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์เสร็จแล้ว พระหมากัสสปเถระจึงเรียกประชุมสงฆ์ ยกวาทะของพระสุภัททะขึ้นกล่าวอ้างในท่ามกลางสงฆ์ ที่ประชุมได้ตกลงรับหลักการท่านจึงได้ชี้แจงให้ที่ประชุมสงฆ์ทราบว่าจะจัดทำสังคายนาเพื่อร้อยกรองพระธรรมวินัยเข้าเป็นหมวดหมู่ และได้คัดเลือกเอาพระอรหันต์ ๔๙๙ องค์ เข้าร่วมประชุม ส่วนอีกรูปหนึ่งคือพระอานนท์ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ ที่ประชุมเห็นว่าควรจะให้โอกาสแก่พระอานนท์ ภายหลังต่อมาจึงได้บรรลุพระอรหันต์ ซึ่งเป็นวันที่จะเริ่มต้นทำสังคายนา
พระมหากัสสปะเลือกเมืองราชคฤห์เป็นที่ทำสังคายนาทั้งๆ ที่เมืองราชคฤห์กับเมืองกุสินาราอยู่ไกลกันมาก การเดินทางไปมาก็ลำบาก จะต้องผ่านเมืองปาวา เมืองเวสาลี เมืองปาฏลีบุตร เมืองนาลันทา จึงถึงเมืองราชคฤห์ การเลือกเมืองราชคฤห์เป็นสถานที่ทำสังคายนา น่าจะมีเหตุผลหลายประการ เช่น มีชัยภูมิที่เหมาะสม การคมนคม และหาปัจจัยสี่ได้โดยสะดวก เพราะเป็นเมืองใหญ่แล้ว พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า พร้อมที่จะให้การอุปถัมภ์การสังคายนา และที่สำคัญเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธนับเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
เมื่อตกลงกันเป็นเอกฉันท์แล้ว พระมหาเถระจึงได้ออกเดินทางจากเมืองกุสินารา ไปสู่เมืองราชคฤห์ ครั้นไปถึงแล้วได้ถวายพระพร แจ้งความประสงค์ให้พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบ เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบแล้ว ก็บังเกิดความปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง และได้ตรัสถามพระมหาเถระทั้งหลายว่า พระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะทำสังคายนา ณ ที่ใด พระหมาเถระถวายพระพรตอบว่า ที่ถ้ำสัตตปัณณคูหา บนภูเขาเวภาระ ซึ่งเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์เงียบสงัด ปราศจากคนพลุกพล่าน เป็นสถานที่สวยงามประหนึ่งเทวดาเนรมิดไว้
พระเจ้าอชาตศัตรู ได้รับสั่งให้จัดสถานที่ด้านหน้าถ้ำสัตตปัณณคูหา และให้สร้างปะรำที่หน้าถ้ำ ครั้นแล้วได้รับสั่งให้ปูลาดต่อไป พระมหาเถระทั้งหลายได้ลงมือประชุมทำสังคายนากัน หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว ๓ เดือน ที่ประชุมได้ถวายหน้าที่ให้พระมหากัสสปเถระเป็นประธานและเป็นองค์ปุจฉา เพราะเป็นพระผู้มีพรรษามาก และเป็นที่เลื่อมใสของพระสงฆ์ทั้งหลาย ให้พระอุบาลีเถระเป็นองค์ วิสัชนาพระวินัย เพราะท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ แตกฉานในพระวินัย ให้พระอานนท์ เป็นองค์วิสัชนาพระธรรม เพราะท่านเป็นพหูสูต มีความรู้แตกฉานเชี่ยวชาญในพระธรรม ทำอยู่ ๗ เดือน มีพระอรหันต์ จำนวน ๕๐๐ องค์ มีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นผู้อุปถัมภ์ การทำสังคายนาในครั้งนี้ เป็นเพียงจัดรวบรวมคำสอนของพระพุทธองค์ตลอด ๔๕ พรรษา เข้าเป็นหมวดหมู่ วรรค ตอน โดยความเรียบร้อยเพื่อง่ายแก่การท่องจำและสวดกันเท่านั้น ยังมิได้เขียนไว้
สมัยปัจจุบันนี้ เรามีตำราที่พอจะค้นได้ แต่กระนั้นพระสงฆ์ของเรา ยังท่องจำสวดมนต์เล่มโตๆ ได้ตั้งแต่ต้นจนปลายโดยไม่ผิดเพี้ยนคำเดียว ส่วนในครั้งกระโน้น พระสงห์รู้อยู่ว่าปล่อยให้หลงลืมผิดเพี้ยนไปจะค้นคว้าตำราที่ไหน สอบทานไม่ได้ จึงต้องพยายามจดจำให้ถูกต้องจริงๆ ไม่ยอมให้คลาดเคลื่อนเลย ขอให้สังเกตว่าคนที่ไม่รู้หนังสือ ย่อมมีความจำดีนักหนา เช่น คนที่มั่งคั่งตามชนบทที่เขาไม่รู้หนังสือ แต่เขาสามารถจดจำจำนวนเงินได้ทั้งหมด แต่ผู้รู้หนังสือมีบัญชีที่จะไปเปิดดูได้ ก็ไม่ค่อยเอาใจใส่หรือถือความจำเป็นของสำคัญการทำสังคายนา ก่อนสมัยที่ จะจารึกพระไตรปิฎกลงเป็นอักษรนั้น ทำกันอย่างรอบคอบระมัดระวัง วิธีสังคายนาปากเปล่า นั้นคือพระสงฆ์ที่คงแก่การเรียนมาประชุมกัน พร้อมกันเป็นอันมาก เลือกรูปที่เก่งที่สุดในทางใด ให้กล่าวพระพุทธวจนะในทางนั้น บางทีก็สมมุติให้เป็นผู้ถามตั้งปัญหา และรูปที่ได้รับความนับถือว่าแม่นยำที่สุดนั้นเป็นผู้ตอบ ถ้าคำตอบผิดพลาดไปผู้อื่นอาจคัดค้านได้ ข้อใดตกลงกันว่าเป็นอันถูกต้องดีแล้ว พระสงฆ์ทั้งหมดที่ประชุมอยู่ที่นั้นก็สวดข฿นพร้อมๆ กัน เป็นเรื่องๆ ไป เท่ากับเป็นการพิมพ์พระพุทธวจนะเหล่านั้น ลงในสมองของพระสงฆ์คราวละ ๕๐๐-๗๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ องค์ จดจำไปบอกให้ผู้อื่นท่องบ่นกันต่อไปกลัวการสูญหายไปหรือสลายไป
น่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
ตอบลบ