วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

พระพุทธศาสนาในศตวรรษที่ 1 (ตอนที่ 3)

  แนวคิดการจัดหมวดหมู่พระธรรมวินัยสมัยพุทธกาล
อันที่จริงความคิดเรื่องสังคายนานั้น  ได้เคยมีมาตั้งแต่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานพระสารีบุตรอัครสาวก  ได้เคยปรารภขึ้นเฉพาะพักตร์พระพุทธเจ้า  เนื่องจากเมื่อมหาวีระนิครนถ์นาฎบุตรสิ้นชีพแล้ว  หลังจากวันสิ้นชีพเพียงเล็กน้อย  พวกสาวกก็ย้ายแยกแตกความเห็นกันฝ่ายหนึ่งว่า  อาจารย์ว่าอย่างนี้  อีกฝ่ายหนึ่งว่าอย่างนั้น  พระสารีบุตรเป็นผู้เลิศทางปัญญา  ได้รับเอตทัคคะจากพระพุทธเจ้า  มองเห็นกาลไกลว่า  ควรจะมีการสังคายนาคำสอนและข้อบัญญัติของพระพุทธเจ้าเป็นครั้งคราว  กำหนดจดจำกันไว้ให้แม่นยำ  เพื่อมิให้ต้องโต้เถียงและแตกแยกความเห็นกัน  เหมือนสาวกมหาวีระ พระพุทธเจ้าตรัสชมความคิดของพระสารีบุตรว่าเป็นแนวคิดที่ดีมาก  และพระจุนทเถระปรารภการนิรวาณของท่านมหาวีระ  จนสาวกแตกแยกกันเป็นสองฝ่าย  ได้เสนอให้มีการสังคายนาพระธรรมวินัย  จนพระสารีบุตรเถระได้รับพุทธานุมัติให้จัดทำ  แต่พระสารีบุตรก็ทำไม่สำเร็จ  นิพพานก่อนพระพุทธเจ้า
พระธรรมวินัย ๑ คือ  พระพุทธศาสนา  คือตัวแทนพระพุทธเจ้า  ดังที่พระอานนท์ได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า  เมื่อพระพุทธองค์ปรินิพานไปแล้ว  ใครจักเป็นศาสดาแทนพระองค์  พระองค์ได้ตรัสไว้กับพระอานนท์ว่า  พระธรรมวินัยเป็นตัวแทนพระศาสดา  เมื่อพระองค์ปรินิพานแล้ว  ถ้ามีเพียงพระธรรม  คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  ไม่มีสาวกประพฤติปฎิบัติและนำเผยแผ่พระธรรมก็จะหายไป  มีเพียงพระวินัยแต่ไม่มีผู้ประพฤติปฎิบัติพระวินัยก็จะหายไปเช่นกัน  มีแต่ศึกษาแต่ไม่มีการปฎิบัติหรือมีก็น้อยลงไปทุกทีๆการดำรงมั่นของพระธรรมวินัยก็อาจเสื่อมได้
ดังนั้น  การทำสังคายนา  จึงหมายถึงการสอบสวนทบทวนถ้อยคำพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้นั้น  ให้เป็นที่ยอมรับกันว่าถูกต้อง  หรือพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์  สวดพร้อมกันเหมือนกับพระสงฆ์สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นทุกวันนี้  ถ้าองค์ไหนสวดผิดก็จะรู้กันทันทียิ่งกว่าการเขียนอักษรไทยลงในพระปิฎก  ซึ่งอาจจะมีการคลาดเคลื่อนได้  แต่ก็ยังดีในยุคปัจจุบันพระไตรปิฎกยังเป็นหลักฐานยืนยัน  อ้างอิงได้  พระสงฆ์สาวกในครั้งนั้น  ต้องอาศัยความจำเป็นหลัก  จึงต้องพยายามท่องจำกันให้ถูกต้อง  ผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ในวัด  คุ้นเคยกับการท่องบ่นบ้างแล้ว  จะไม่สงสัยในข้อนี้เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น